Well-Being ของผู้ถูกละเมิดสิทธิ : เมื่อบาดแผลลึกกว่าร่างกาย

แนวคิดเรื่อง Well-being ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะสังคมปัจจุบันให้ความสำคัญในการพัฒนาและดูแลตนเองในระดับปัจเจกมากขึ้น โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพกายและใจควบคู่กันไป แต่ถึงอย่างนั้นแนวคิดเรื่อง Well-being ในผู้คนบางกลุ่มอาจเป็นเรื่องที่ต้องแตกต่างจากคนกลุ่มอื่น เช่น กลุ่มบุคคลผู้ถูกละเมิดสิทธิ อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเปราะบาง เนื่องจากผู้ที่ประสบปัญหานี้มักจะเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงต่อสุขภาพจิตและร่างกาย ดังนั้น การออกแบบแนวคิด Well-being จึงต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในปัญหาและบริบทด้านการถูกละเมิดสิทธิต่าง ๆ อย่างครอบคลุมด้วยเช่นกัน

Well-being คืออะไร

Well-being ในภาษาไทย "Well-being" แปลว่า "ความเป็นอยู่ที่ดี" หรือ "ความสุข” ซึ่งหมายถึงสภาวะที่ดีของบุคคลซึ่งรวมถึงความรู้สึกดีและการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญคือการมีอารมณ์เชิงบวก เช่น ความสุขและความพอใจ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของตนเอง การมีความควบคุมในชีวิต ความรู้สึกมีจุดมุ่งหมาย และการมีความสัมพันธ์ที่ดี การพูดถึง Well-being เริ่มมีการพัฒนาและได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 20 โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งมีการเน้นที่การกระจายทรัพยากรและการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน

Well-being ของผู้ถูกละเมิดสิทธิเป็นเรื่องสำคัญ

การออกแบบพื้นที่หรือสภาวะ Well-being ของผู้ถูกละเมิดสิทธินั้น แตกต่างจากบุคคลทั่วไปในสังคมอย่างชัดเจน เพราะละเมิดสิทธิสามารถส่งผลให้เกิดความเครียด, ภาวะซึมเศร้า, และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ซึ่งทำให้การฟื้นฟูและการมีชีวิตที่มีคุณภาพเป็นเรื่องยาก ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่การออกแบบระบบหรือสร้างภาวะ Well-being เพื่อใช้ในการเยียวยาหรือรักษาสภาพด้านร่างกายและจิตใจของกลุ่มผู้ถูกละเมิดสิทธิ จะต้องมีความเฉพาะทางและเกิดขึ้นจากความเข้าใจในบริบทปัญหาด้านการละเมิดสิทธิที่ถูกต้อง

เหตุผลที่ Well-being ของผู้ถูกละเมิดสิทธิสำคัญ

ผลกระทบต่อสุขภาพจิต: ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมักประสบกับปัญหาทางจิตใจ เช่น ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันและการมีส่วนร่วมในสังคม

การฟื้นฟูและการสนับสนุน: Well-being ที่ดีช่วยให้ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิสามารถฟื้นฟูจากประสบการณ์ที่เลวร้ายได้ และมีโอกาสในการสร้างชีวิตใหม่ที่มีคุณภาพ การสร้างสังคมที่เป็นธรรม: การสนับสนุน well-being ของผู้ถูกละเมิดสิทธิมีความสำคัญต่อการสร้างสังคมที่มีความเข้าใจและเป็นธรรม ซึ่งช่วยลดความไม่เท่าเทียมและส่งเสริมความยุติธรรมในสังคม

การส่งเสริมความมั่นคง: การดูแล well-being ของผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิช่วยสร้างความมั่นคงทั้งในระดับบุคคลและสังคม ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

การสร้างความตระหนักรู้: การพูดถึง well-being ของผู้ถูกละเมิดสิทธิช่วยสร้างความตระหนักรู้ในสังคมเกี่ยวกับปัญหาการละเมิดสิทธิ และกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก

ซึ่ง "บ้านเสมอ" โดย มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) คืออีกหนึ่งสถานที่ปลอดภัยในการให้คำปรึกษาเพื่อออกแบบและสร้างสภาวะ Well-being ที่มีคุณภาพให้กับผู้รับบริการ โดยมีบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่บริการสุขภาพจิต โดยมีนักจิตวิทยาให้บริการ ด้วยการประเมินความเสี่ยงต่อภาวะทางสุขภาพจิต การให้คำปรึกษา และการทำกิจกรรมเสริม Well - being สำหรับผู้ถูกละเมิดสิทธิ รวมถึงผู้ใช้สารเสพติดและครอบครัว

การสร้าง well-being ที่ดีแก่ผู้ถูกละเมิดสิทธิไม่เพียงแต่ช่วยให้พวกเขาฟื้นฟูจากประสบการณ์ที่เลวร้าย แต่ยังสนับสนุนการสร้างสังคมที่เป็นธรรมและมีความเข้าใจในปัญหาสิทธิมนุษยชนอีกด้วย

สอบถามเพิ่มเติม โทร. 08 3543 3608

หรือจะมา On Site ก็ได้ที่ https://maps.app.goo.gl/hzBcEvLKHzHZNUhS7