มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย
FOUNDATION for ACTION on INCLUSION RIGHTS
ในทางทฤษฎี ประเทศไทยต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจาก รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ห้ามการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลเอาไว้แล้ว รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 27 บัญญัติว่า
“บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้...”
แต่ในทางปฏิบัติ ยังพบเห็นการเลือกปฏิบัติได้ทั่วไป รวมทั้งในหน่วยงานภาครัฐ ทั้งที่หน่วยงานควรต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด โดยในที่นี้จะพิจารณาถึงกรณีการปฏิเสธการรับสมัครงาน
กรณีแรกคือการปฏิเสธเข้าเป็นข้าราชการตำรวจ เนื่องจากการเป็นผู้มีเอชไอวี สาเหตุมาจาก กฎ ก.ตร. (ก.ตร. คือ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ) ว่าด้วยคุณลักษณะและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ ปี 2566 กำหนดลักษณะต้องห้ามข้อ 11.8.5 คือ โรคเอดส์ และ/หรือ ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เท่ากับว่า ผู้สมัครเป็นข้าราชการตำรวจที่ตรวจร่างกายแล้ว พบว่าเป็นโรคเอดส์ หรือ มีเชื้อเอชไอวี จะถูกปฏิเสธ ซึ่งเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติจากกรณีสภาพทางกายหรือสุขภาพ
กรณีดังกล่าว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 ว่า ปัจจุบันหากผู้ติดเชื้อเอชไอวีกินยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง จนสามารถควบคุมให้อยู่ในจุดที่ไม่สามารถตรวจจับหาเชื้อ หรือ “Undetectable” ได้ บุคคลผู้นั้นจะไม่แพร่เชื้อ (Untransmittable) และสามารถดำเนินชีวิตได้เหมือนกับคนที่ไม่ติดเชื้อ ทั้งการทำงาน การเรียน และมีอายุยืนยาว หรือเรียกว่า U=U (Undetectable = Untransmittable หรือ ไม่เจอ=ไม่แพร่) และแม้จะไม่อยู่ในภาวะ U=U แต่ก็มีความเสี่ยงต่ำที่จะแพร่เชื้อเอชไอวีให้แก่ผู้อื่น
กสม.แถลงอีกว่า อีกทั้ง ยังมีข้อเท็จจริงที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติปฏิบัติต่อข้าราชการที่ติดเชื้อเอชไอวี โดยไม่ได้นำประเด็นสมรรถภาพมาใช้พิจารณาในการสลับสับเปลี่ยน โยกย้าย หรือพิจารณาให้ออกจากราชการ ย่อมแสดงให้เห็นว่าการเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้ส่งผลต่อสมรรถนะวินัยตามที่ได้กล่าวอ้าง ดังนั้น เมื่อมีข้อเท็จจริงอันอาจทำให้เปลี่ยนแปลงเหตุแห่งการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ก็ต้องนำเหตุดังกล่าวมาพิจารณาใหม่ด้วย ดังนั้น การเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบันจึงไม่อาจนำมากำหนดเป็นข้อยกเว้นของการเลือกปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560
ทางออกของผู้ที่ถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติปฏิเสธการเข้ารับราชการ เนื่องจากพบว่าเป็นผู้มีเอชไอวี คืออะไร
กรณีที่สอง คือการปฏิเสธการเข้าสอบเป็นผู้พิพากษา ที่จัดสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (สำนักงาน ก.ต.) ด้วยเหตุแห่งความพิการของผู้สมัคร กรณีดังกล่าว คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ศุภวิชญ์ จันทร์เสถียร ทนายความ อาการโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินได้เลย และนั่งวีลแชร์มาตั้งแต่เกิด เขาโพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊ค ชื่อ ทนายศุภวิชญ์ จันทร์เสถียร - Supavich Jansatien เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 มีใจความว่า
ปีที่แล้วผมสมัครสอบ และได้ขอคนเขียน ผมถูกตัดสิทธิ์เข้าสอบ โดยสำนักงานศาลยุติธรรมชี้แจงต่อสังคมในทำนองว่า การขอคนเขียนเป็นวิธีการสอบที่แตกต่างจากผู้สอบคนอื่น จึงตัดสิทธิ์สอบของผม ปีนี้ผมสมัครสอบผู้พิพากษาอีก โดยผมไม่ขอคนเขียน ผมขอเพียงโต๊ะเขียนข้อสอบที่วีลแชร์เข้าได้ เพราะผมจะเขียนเอง แต่ผมถูกตัดสิทธิ์ในการเข้าสอบอีก เบื้องต้นผมโทร. สอบถามต่อเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ต. ถึงสาเหตุที่ผมไม่มีชื่อเข้าสอบในปีนี้ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถแจ้งเหตุผลได้ ผมสมัครสอบผู้พิพากษาปีนี้อีกครั้ง แต่ถูกตัดสิทธิ์ในการเข้าสอบอีก โดยผมเข้าใจว่าถูกตัดสิทธิ์เพราะร่างกาย
ศุภวิชญ์ย้อนเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งสอบตั๋วทนายความก็ใช้บริการผู้ช่วยเขียน รวมถึงการสอบเนติบัณฑิตก็ใช้บริการผู้ช่วยเขียนเช่นกัน ส่วนการสอบผู้พิพากษาครั้งแรก ปี 2567 ตนได้ขอใช้ผู้ช่วยเขียนด้วย โดยอ้างอิงถึงการสอบเนติบัณฑิตและการสอบทนายความ ทำให้ถูกเรียกไปตรวจร่างกายล่วงหน้าจากปกติต้องสอบข้อเขียนผ่านก่อนถึงจะตรวจร่างกาย แพทย์บอกว่า วิธีการใช้ผู้ช่วยเขียนไม่สมควร เพราะเป็นการสอบโดยใช้สองหัว เมื่อประกาศรายชื่อก็ไม่มีชื่อของตน เมื่อโทรไปสอบถาม เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ตนขาดคุณสมบัติด้านร่างกาย
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2567 สำนักงานศาลยุติธรรม ออกแถลงการณ์ว่า ผู้สมัครสอบต้องการผู้ช่วยเขียนทำให้คำตอบเป็นผลรวมของความคิดของคนสองคน เป็นการใช้กติกาต่างจากผู้สอบรายอื่น คณะกรรมการ ก.ต. จึงไม่ให้รับสมัคร เมื่อผู้สมัครสอบขอให้ทบทวนคณะกรรมการมีมติไม่ทบทวน
ต่อมาศุภวิชญ์ทำหนังสือขอรายงานการประชุมและได้รับมาในเดือนพฤศจิกายน รายงานระบุว่า แพทย์ให้ความเห็นว่าเขาเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองหรือทำกิจวัตรประจำตัวได้ด้วยตัวเอง เช่น การรับประทานอาหาร แต่งกาย หรือถ้าจะเคลื่อนไหวไปไหนก็ต้องให้มีคนอุ้ม นั่งรถเข็น และต้องมีคนช่วยเข็นตลอดเวลาอนุกรรมการจึงเห็นว่าไม่สมควรให้สอบ และคณะกรรมการชุดใหญ่มีมติเห็นตามนั้น
ศุภวิชญ์บอกว่า สรุปคือในรายงานประชุมไม่มีการพูดถึงเรื่องผู้ช่วยเขียน จึงเข้าใจว่า การชี้แจงต่อสังคมของศาลว่าตัดสิทธิเพราะเรื่องผู้ช่วยเขียนเป็นเพราะกระแสสังคมร้อนแรงและไม่อยากให้สังคมมองว่าปฏิเสธคนเพราะเรื่องร่างกาย แต่ความจริงการตัดสิทธิเป็นเรื่องของร่างกาย
ศุภวิชญ์กล่าวอีกว่า ปีนี้ตนไม่ได้ขอผู้ช่วยเขียน แต่ขออนุญาตนำรถเข็น หรือ วีลแชร์ เข้าห้องสอบ แต่ก็ไม่มีชื่อตนอีกเช่นกัน โทรไปสอบถาม เจ้าหน้าที่แจ้งเหตุผลว่า พิจารณาจากภาพรวม เมื่อพยายามซักถามก็ไม่ได้ความชัดเจน จึงทำให้ยังไม่ทราบประเด็นที่แท้จริงของการไม่ผ่านการคัดเลือกในปีนี้
กรณีของศุภวิชญ์มี 2 กรณี คือ กรณีแรก ปี 2567 มีการแถลงจากศาลว่า เขาถูกปฏิเสธเพราะร้องขอผู้ช่วยเขียน แต่รายงานการประชุมกลับระบุว่า เป็นเพราะสภาพร่างกายไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กรณีที่สอง ปี 2568 ศุภวิชญ์จะเขียนข้อสอบเอง แต่ขอนำวีลแชร์เข้าฟ้องสอบ และขอโต๊ะที่เขียนข้อสอบที่วัลแชร์เข้าได้ แต่ก็ถูกตัดชื่อออกเช่นเดียวกับปี 2567
1.ผู้ถูกตัดสิทธิสามารถยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เพื่อเรียกร้องสิทธิในการสมัครสอบผู้พิพากษา ซึ่ง ศุภวิชญ์ได้ดำเนินการไปแล้วในการสมัครสอบเมื่อปี 2567 แต่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการพิจารณาให้สิทธิเข้าสอบผู้พิพากษา ส่วนการถูกตัดสิทธิ ในปี 2568 ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568
ณัฐพงศ์ รงศ์ทอง หัวหน้าสำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ศูนย์นิติศาสตร์ กล่าวว่า ในระเบียบของ ก.ต. และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่ได้ถูกระบุไว้ว่าเป็น โรคต้องห้ามซึ่งมี 5 โรค ดังนั้น การใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการแพทย์ควรต้องวินิจฉัยตามระเบียบที่มีอยู่ ควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเพื่อให้สิทธิ์ในการสอบเป็นธรรมเท่ากันทุกคนแต่ยังไม่มีการตอบกลับจากสำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
2.ผู้ถูกตัดสิทธิสามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้พิจารณาว่าคำสั่งตัดสิทธิการสมัครสอบผู้พิพากษาเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือ ผู้สมัครสอบสามารถยื่นเรื่องถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาว่า ระเบียบของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครสอบขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 27 หรือไม่
3.ผู้ถูกตัดสิทธิสามารถยื่นคำร้องถึงมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ตรวจสอบและพิจารณาว่า การตัดสิทธิการสอบผู้พิพากษาด้วยเหตุแห่งร่างกายเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติหรือไม่