มุมมองเรื่องการบริจาคโลหิต โดยอดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย

สำหรับประเทศไทย มีการตรวจเลือดทุกยูนิตที่ได้รับบริจาคด้วย Fourth generation (Ag-Ab) test ควบคู่กับ HIV-RNA PCR (NAT) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานโลก และดีที่สุด ณ ขณะนี้ ประชาชนคนไทยจึงมั่นใจได้ว่า เลือดที่ผู้ป่วยจะได้รับปลอดภัยสูงเทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะผ่านการตรวจคัดกรองด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดแล้ว ยิ่งตอนนี้มีเทคโนโลยีทำให้เชื้อไวรัสหมดฤทธิ์ (Pathogen inactivation) เข้ามาใช้ร่วมด้วย ก็น่าจะยิ่งทำให้ประชาชนมั่นใจมากขึ้น

แต่คงจะไม่มีใครกล้าตอบได้ว่า ปลอดภัย 100% เพราะอาจมีบางคน ที่เพิ่งไปรับเชื้อมายังไม่เกิน 9 – 11 วัน ซึ่งเป็นระยะฟักตัว หรือระยะรอคอย (Window period) ของการตรวจด้วยวิธี NAT ถ้ามาบริจาคเลือดก็อาจตรวจด้วย NAT ไม่เจอ ตรวจด้วย Fourth generation test ก็ไม่เจอเช่นกัน เพราะมีความไวน้อยกว่า ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่แนะนำว่า “คนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมายังไม่เกิน 2 สัปดาห์ ไม่ควรบริจาคโลหิต”

มีตัวเลขจากฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ทั่วโลก บอกว่าโอกาสที่จะติดเชื้อเอชไอวีจากโลหิตที่ได้รับบริจาค ซึ่งตรวจด้วยวิธี NAT แล้วอยู่ที่ 1 - 1.5 ต่อ 3 ล้านยูนิ และถ้าร่วมกับการทำให้เชื้อไวรัสหมดฤทธิ์ โอกาสเสี่ยงจะเท่ากับ 0 ในทางทฤษฎี (Theoretical zero) หรือ 1 ในหลาย ๆ สิบล้าน (<1 in tens of millions) หรือที่เรียกว่าความเสี่ยงที่วัดไม่ได้ (non-quantifiable risk) หรือ ต่ำกว่า detectable risk แต่แม้จะเป็นเท่าไรก็ตาม

ดังนั้น คำถามที่น่าพิจารณาคือ การคัดกรองขั้นแรกด้วยการห้ามกลุ่มเสี่ยงบริจาค (แบบเหมารวม) หรือด้วยการซักประวัติพฤติกรรมเสี่ยงเฉพาะตัว ตามด้วยการตรวจโลหิตแบบที่ทำอยู่ในปัจจุบัน จะลดโอกาสเสี่ยงลงอีกได้เท่าไร ถ้าเทียบกับการคัดกรองจากโลหิตเฉย ๆ ส่วนตัวไม่คิดว่า จะมีข้อมูลดังกล่าวที่เชื่อถือได้ เพราะการตรวจคัดกรองโลหิตก็ดีที่สุดแล้ว ประกอบกับความไม่น่าเชื่อถือของข้อมูลส่วนตัว ที่ผู้บริจาคจะให้กับเจ้าหน้าที่

ความน่าเชื่อถือของข้อมูลส่วนตัวขึ้นกับ ความซื่อสัตย์ (honesty) ของผู้ให้ข้อมูล (ผู้บริจาค) เอง บางคนอาจไม่อยากบริจาคแต่ถูกเกณฑ์มา ก็อาจบอกว่าเป็นชายที่มีเพสสัมพันธ์กับชาย จะได้ไม่ต้องบริจาค หรือบางคนอาจมีพฤติกรรมทางเพศแบบนั้น แต่มีจิตกุศลที่จะบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเพื่อนร่วมชาติ ก็อาจบอกความจริง เพื่อให้เลือดของเขาได้รับการตรวจอย่างดีก่อนถูกนำไปใช้ บางคนอาจไม่กล้าบอกความจริง เพราะรู้ว่าบอกไปแล้วเขาคงไม่ได้รับอนุญาตให้บริจาคแน่ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงก็มีระดับความน่าเชื่อถือ และไม่น่าเชื่อถือคล้าย ๆ กัน ขึ้นกับความซื่อสัตย์ของผู้ตอบแบบสอบถาม

นอกจากเรื่องความซื่อสัตย์ (honesty) ของผู้บริจาคแล้ว ความกลัวหรือความกังวลว่า ข้อมูลที่ให้ไปจะย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อตัวเขาในอนาคตหรือไม่ เช่น ในแง่สังคม อาชีพการงาน หรือแง่กฎหมาย อาจเป็นแรงกดดัน ทำให้ผู้บริจาคไม่กล้าบอกความจริง ทำให้ความน่าเชื่อถือของข้อมูลลดลง

ดังนั้น การที่จะให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เชื่อถือได้มากที่สุด ควรเป็นการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยการตอบแบบสอบถาม โดยไม่เจอเจ้าหน้าที่ จะได้ไม่ต้องไปดูว่าเขาใส่ตุ้มหูกี่ข้าง หรือชื่อเป็นนายแต่แต่งตัวเป็นผู้หญิง หรือไม่ และย้ำตั้งแต่ก่อนตอบคำถามข้อแรกว่า “ข้อมูลที่ได้จะถูกนำไปใช้ประกอบการคัดกรองเลือดให้ปลอดภัยที่สุดเท่านั้น” ไม่เกี่ยวกับสิทธิของการบริจาค และข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับเฉพาะตัว ไม่มีการเผยแพร่ให้นายจ้างหรือเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายโดยเด็ดขาด และอย่าใช้ข้อกฎหมายเป็นการขู่ เช่น “ถ้าไม่บอกความจริง จะต้องโทษ…” เพราะไม่มีใครชอบถูกขู่ ให้เขาตอบด้วยความสบายใจจะดีที่สุด

อีกประเด็นสำคัญ คือ ประชากรทั่วไป (heterosexual) ที่ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง บริจาคโลหิตที่ปลอดภัยจริงหรือ ประชากรทั่วไป (heterosexual) มีสัดส่วนสูงถึง 2 ใน 3 (60–70%) ของผู้ติดเชื้อที่ตรวจเจอใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งมีปีละ 8,000–10,000 คน ดังนั้น การห้ามไม่ให้กลุ่มที่ไม่ใช่ heterosexual บริจาคโลหิต จึงไม่น่าจะถูกต้องทีเดียว ดีที่สุดคือการห้ามคนทุกกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมายังไม่ถึง 14 วันบริจาคเลือด น่าจะถูกต้องกว่า

การตรวจเลือดที่ได้รับบริจาคให้ปลอดจากเอชไอวี จึงเป็นคนละเรื่องกับการตรวจเอชไอวีให้ผู้บริจาค ในสมัยก่อน หลายคนที่คิดว่าตัวเองเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี จะลองมาบริจาคโลหิตเพื่อจะได้รู้ผลเอชไอวี เนื่องจากไม่สะดวกใจที่จะไปตรวจกับโรงพยาบาล ทำให้ต้องทิ้งเลือดไปจำนวนมาก แต่ถ้าเปลี่ยนนโยบายเป็นแบบ ไม่บอกผลเลือดให้ผู้บริจาคทราบ เช่น ผลเอชไอวี ตับอักเสบ บี ตับอักเสบ ซี แม้จะดูใจร้ายไปหน่อย แต่ก็อาจทำให้ต้องทิ้งเลือดเสียน้อยลง หากเขาอยากตรวจเชื้อไวรัสเหล่านี้ ก็ไปตรวจที่อื่นได้ อย่าได้มาอาศัยการบริจาคเลือดเป็นช่องทางการตรวจ ลักษณะที่ว่านี้ปัจจุบันอาจมีน้อยลง เพราะมีสถานบริการที่เป็นมิตรในการตรวจเอชไอวีมากขึ้น สะดวกรวดเร็ว และตรวจได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง อีกทั้งคนกล้าไปตรวจเอดส์กับสถานพยาบาลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นโยบายการไม่บอกผลเลือดน่าจะมีประโยชน์กว่า

โดยสรุปศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ มีขั้นตอนในการตรวจเลือดทุกยูนิตที่ได้รับบริจาค ให้ปลอดจากไวรัสเอชไอวี ตับอักเสบ บี และตับอักเสบ ซี ที่ดีที่สุด และทันสมัยที่สุดในโลกอยู่แล้ว ทั้งยังมีวิธีการในการทำให้เชื้อไวรัสหมดฤทธิ์ (Pathogen inactivation) โอกาสที่เชื้อเอชไอวีจะหลุดรอดไปในโลหิตที่เอาไปให้กับคนไข้จึงแทบจะไม่มี หรือมีน้อยกว่า 1 ในหลายล้าน การห้ามกลุ่มประชากรบางกลุ่มบริจาคโลหิต (เหมารวมว่ามีความเสี่ยง) อาจไม่ได้เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นเท่าไรนัก ไม่คุ้มกับข้อตำหนิ หรือข้อหาว่ากระทำผิดกฎหมาย หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ การตีตรา และเลือกปฏิบัติ อีกทั้งการห้ามบริจาคโลหิตในบางกรณีก็ เป็นเรื่องที่ขัดกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อที่กินยาต้านไวรัสจนตรวจไม่เจอเชื้อในเลือดแล้ว (U=U) เพราะในบางประเทศยังอนุญาตให้ผู้ติดเชื้อดังกล่าวบริจาคอวัยวะให้ผู้อื่น (organ donor) ได้ด้วย ข้อห้ามหรือข้อเตือนสติที่ดีที่สุดก็คือ ทุกคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมายังไม่เกิน 14 วัน ไม่ควรมาบริจาคโลหิต โดยต้องมี list ของพฤติกรรมเสี่ยงให้ชัดเจน ซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย จะได้ไม่ต้องทะเลาะหรือโต้แย้งกันให้เสียเวลา เสียอารมณ์อย่างทุกวันนี้

ภาพถ่าย : https://ihri.org/